แนะแนวทางก้าวสู่วัยเกษียณอย่างมีความสุข ไม่เป็นภาระลูกหลาน มีเงินพอกินพอใช้ เพียงวางแผนเร็ว เริ่มต้นเร็ว "เกษียณสุข" ได้ไม่ยาก วัยเกษียณแม้เราจะล่วงเลยวัยทำงานไปแล้ว แต่เรายังมีภาระค่าใช้จ่ายสำหรับการดูแลตัวเอง ค่ากินอยู่ ค่ารักษาพยาบาลและดูแลสุขภาพที่เสื่อมถอยลงตามวัย เงินทองยังเป็นของจำเป็นสำหรับคนวัยนี้ แต่ก่อนที่เราจะก้าวสู่วัยเกษียณ หากเราวางแผนชีวิตแต่เนิ่นๆ ด้วยเทคนิค 3 ต. เราจะก็ก้าวสู่วัยเกษียณแบบไม่มีความทุกข์ เพราะวางแผนรองรับไว้อย่างดี เคล็ดลับง่ายๆ คือ เริ่มวางแผนแต่เนิ่นๆ เริ่มออมแต่เนิ่นๆ เมื่อถึงวันที่ต้องเกษียณอายุ เราก็จะมีชีวิตแบบไร้กังวล "เงินออม" สิ่งจำเป็นหลังเกษียณ "สูงวัยใกล้เกษียณ" ลงทุนอย่างไรไม่ให้ลำบากตอนแก่ ผศ. ดร. เบญจลักษณ์ ศกุนะสิงห์ อาจารย์ประจำภาควิชาบริหารธุรกิจ วิทยาลัยนานาชาติ ม. มหิดล ให้ความรู้ว่า ถ้าไม่อยากให้ชีวิตพังและพลาดต้องบริหารจัดการเงินทองให้ดี กับเทคนิค 3 ต. ก่อนอื่นเราต้องตอบคำถามตัวเองว่า "เมื่อชีวิตเราถึงวัยเกษียณแล้ว เราอยากใช้ชีวิตแบบไหน ต้องมีเงินเท่าไรถึงจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย เงินเก็บที่เตรียมเอาไว้เพียงพอแล้วหรือยัง? " สภาวะปัจจุบันเราจะเจอกับความจริงที่ว่า ข้าวของแพงขึ้น เงินเฟ้อสูงขึ้น เงินที่เราเก็บเตรียมตัวไว้ใช้หลังเกษียณอาจจะมีไม่เพียงพอใช้ นอกจากนี้เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ดีขึ้น ทำให้เรามีชีวิตยืนยาว และเรายังพบการเปลี่ยนแปลงของตัวเราเอง เปลี่ยนแปลงจากวัยทำงานไปสู่วัยเกษียณ ด้วยร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไป สภาพจิตใจเปลี่ยนไป และสถานะทางสังคมและการเงินเปลี่ยนไป ทุกๆ คนจะต้องเจอการเปลี่ยนแปลงนี้ ดังนั้นทุกคนควรทำใจยอมรับการเปลี่ยนแปลงนี้ หลักง่ายๆ คือ การเตรียมตัวยอมรับ ในสิ่งที่จะเกิดขึ้น เทคนิค 3 ต.
จากที่กล่าวไปแล้วในตอนที่ 1 ว่า เมื่อเกษียณอายุไปแล้วนั้น สิ่งที่ทุกคนจะต้องเผชิญ ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงสถานภาพทางสังคม การต้องสูญเสียรายได้หลักในขณะที่รายจ่ายยังมีอยู่ตลอดจนสิ้นอายุขัย การเสื่อมโทรมของสภาพร่างกาย การเจ็บไข้ได้ป่วยที่มาพร้อมกับการชราภาพ เป็นต้น สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ทำให้เรามีความจำเป็นที่จะต้องมีการเตรียมความพร้อมทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ และการเงิน เพื่อรองรับและรักษามาตรฐานการดำเนินชีวิตในช่วงหลังวัยเกษียณให้เทียบเท่าหรือใกล้เคียงกับการดำเนินชีวิตในช่วงก่อนเกษียณอายุ ทั้งนี้ การเตรียมความพร้อมเพื่อก้าวเข้าสู่วัยเกษียณอายุนั้นสามารถแบ่งออกเป็น 2 ด้าน คือ 1.
การวางแผนทางการเงิน สำรวจและประเมินตนเองว่าแหล่งรายได้หรือแหล่งลงทุนที่เราวางแผนทำไปนั้นสามารถต่อยอดหรือทำกำไรให้เราเพื่อที่จะสามารถมีเงินเพียงพอต่อการดำรงชีวิตในวัยเกษียณแล้วหรือไม่ หรือถ้าหากประเมินแล้วยังไม่พึงพอใจก็สามารถหาแหล่งรายได้จากหลายๆทางเพิ่มเติมได้ สำรวจเงินว่ามีเพียงพอต่อการใช้ชีวิตวัยเกษียณหรือไม่ และเมื่อเกษียณแล้วต้องไม่ไปรบกวนหรือเป็นภาระให้แก่ครอบครัวหรือคนรอบข้าง ฉะนั้นควรประเมินตนเอง วางแผนอนาคต และบริหารการเงินให้ดี 2. จัดการกับภาระหน้าที่ต่างๆที่ต้องรับผิดชอบ ควรจัดการและสะสร้างภาระหน้าที่ ความรับผิดชอบต่างๆให้เรียบร้อยก่อนเกษียณ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการทำงานในเรื่องภาระงานที่ต้องรับผิดชอบหรือให้องค์กรหาคนมาทำแทนให้ได้ก่อนแล้วค่อยเกษียณ หรืออาจจะเป็นการจัดการเรื่องหนี้สินต่างๆ เช่น ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ผ่อนสินค้าเครื่องใช้ หรือค่าใช้จ่ายต่างๆของคนในครอบครัว เช่น ค่าเล่าเรียนบุตร ค่าใช้จ่ายภายในบ้าน ค่าจิปาถะต่างๆที่จะต้องจัดการเคลียร์ให้เรียบร้อย เพื่อจะได้ไม่เป็นภาระตนเองหรือไปรบกวนเงินหลังวัยเกษียณของตนเอง 3.
การถอนเงินออกมาใช้บ่อยๆ จะทำให้ทรัพย์สินที่สะสมไว้หมดเร็วกว่าคาด จ. ค่าใช้จ่ายในการรักษาสุขภาพมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้น 4. ทำประมาณการรายได้และค่าใช้จ่ายเพื่อหาส่วนต่าง ให้ทำประมาณการรายได้ และค่าใช้จ่าย รวมทั้งการลงทุนจากเงินออมในปัจจุบัน เพื่อจะได้ประมาณได้ว่ากระแสเงินสดที่จะได้รับในยามเกษียณแล้วนั้นจะเพียงพอในการดำรงชีวิตไปได้อีกกี่ปี หากไม่พอใช้เราก็ต้องกลับมาพิจารณาดูว่าควรปรับวิธีการออมเงิน เพิ่มรายได้ ลดค่าใช้จ่าย หรือยังต้องทำงานต่อไปสักระยะหนึ่งก่อน 5. สะสมเงินออมด้วยการลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เรื่องนี้แนะนำให้ทุกคนสะสมเงินออมผ่านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) ให้เต็มที่ก่อนที่จะเลิกทำงาน เพราะการลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นการออมที่ลูกจ้างออมเงินเท่าไหร่ นายจ้างก็จะช่วยลูกจ้างออมด้วยในจำนวนเงินที่เท่ากัน จึงเป็นวิธีการสะสมเงินออมที่ดีทางหนึ่ง เมื่อประเมินทุกอย่างข้างต้นแล้ว ให้เราเริ่มวางแผนเกษียณอย่างจริงจัง โดย 1. เรียนรู้และทำความคุ้นเคยเกี่ยวกับการวางแผนเกษียณ คือการวางแผนด้านรายได้และรายจ่าย รวมถึงแผนการลงทุน เรียนรู้การจัดทำงบประมาณ (Budget) กลยุทธ์การจัดสรรเงินลงทุน (Asset allocation strategy) เป็นต้น 2.
วันที่ 31 ก. ค. 2556 เวลา 14:35 น.
ประเมินค่ารักษาพยาบาลในอนาคต หากเราเป็นคนที่ต้องเข้าออกโรงพยาบาลบ่อยๆ เรื่องนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะอาจจะกระทบกับกระแสเงินสดในอนาคตที่เราต้องการ 4.
2% ทีนี้เรามีตัวเลขอยู่ 2 ตัว คือ 1. % เงินเฟ้อ…3. 5% 2. % ผลตอบแทนที่(คาดว่า)จะได้ 5% แล้วเราจะเอาตัวไหนมาคิดเลข ตอบแบบกำปั้นทุบดินคือ ก็คิดแบบผลตอบแทนก่อน จากนั้นค่อยทอนด้วยเงินเฟ้อ เพราะ ผลตอบแทนได้ 5% ในช่วงเกษียณ ทำให้ต้องเตรียมเงินก่อนเกษียณ… ล ด ล ง แต่ เงินเฟ้อทำให้เงินที่ต้องเตรียมก่อนเกษียณ… เ พิ่ ม ขึ้ น ดังนั้น ถ้าอยากคิดทีเดียวก็ให้คิดจากอัตราผลตอบแทนจากสูตรนี้ครับ R = [(1+r)/(1+i)-1] x 100 เมื่อ r = ผลตอบแทนหลังเกษียณ, i = อัตราเงินเฟ้อหลังเกษียณ แทนค่าเข้าไปจะได้ R = [(1+5%)/(1+3. 5%) -1] x 100 R = [1. 05/1. 035 -1] x 100 R = [1. 014493 -1] x 100 R = 0. 014493 x 100 = 1. 4493% ทีนี้ได้ R ที่จะเอาไปคำนวณแล้วหลังเกษียณ = 1. 4493% (เป็นอัตราผลตอบแทนที่จะทำได้หลังจากปรับด้วยอัตราเงินเฟ้อแล้ว) จากนั้นก็เอาเข้าสูตรใน Excel ซึ่งขอยกไปเขียนในครั้งถัดไป ปล. วันนี้ให้ทุกท่านลองหาอัตราผลตอบแทนของตัวเองดูนะครับ สมมุติฐานเรื่องผลตอบแทนในระยะยาวของแต่ละคนอาจต่างกันออกไป การจัดพอร์ตก็แล้วแต่สไตล์ นี่ยังไม่จบนะครับ เราค่อย ๆ เรียนรู้ไปด้วยกัน ฝันดี ราตรีสวัสดิ์
คำนวณเป็นเงินรายปีได้เท่าไหร่? แล้วจะอยู่ไปอีกกี่ปี? " เมื่อคำนวณเห็นตัวเลขกลมๆ แล้ว ก็มาวางแผนกันว่าเราจะหากระแสเงินสดจากทางไหนที่ทำให้อยู่ได้แบบเพียงพอกับค่าใช้จ่ายที่เราตั้งไว้ อย่างน้อยก็ทำให้เรามีเป้าหมายแล้วว่า เราต้องเก็บเงินเพื่อสร้างสินทรัพย์ เพื่อสร้างกระแสเงินสดจำนวนเท่าไหร่? หรือตระหนักได้ว่า เราในฐานะ " มนุษย์เงินเดือน " ต้องเตรียมเงินเอาไว้เท่าไหร่จึงจะพอใช้หลังเกษียณ 'ตระหนัก' เอาไว้ก่อนตั้งแต่วันนี้ จะได้ไม่ต้อง 'ตระหนก' ในภายภาคหน้านะคะ ติดตามความรู้และข่าวสารสมาคมนักวางแผนการเงินไทย ได้ที่ LINE@cfpthailand, TFPA Facebook Fanpage และ
รูปแบบการดำรงชีวิตของเราจะเป็นอย่างไร เรายังอยากทำงานและใช้ชีวิตแบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบันไปเรื่อยๆ จนกว่าจะทำงานไม่ไหว หรือตั้งเป้าว่าในอนาคตจะมีเวลาว่างและเงินเหลือพอที่จะใช้ไปท่องเที่ยวยังสถานที่ต่างๆ หรือทำกิจกรรมที่อยากทำหลายอย่างหรือไม่ 2. เราต้องการเลิกทำงานเมื่ออายุเท่าไหร่ สำหรับคนที่ไม่อยากทำงานไปตลอดชีวิต เราต้องเลือกว่าอยากเลิกทำงานเมื่อไหร่ ซึ่งสำหรับคนไทยในกรณีทั่วไปก็อยู่ที่ 60 ปี หรือหากต้องการเกษียณเร็วขึ้นกว่าเดิม ก็อาจจะอยากเลิกทำงานเมื่ออายุ 50 ปี เป็นต้น และบางคนก็อยากจะทำงานไปจนกว่าจะ 65 ปี หรือมากกว่าก็มี 3. ประเมินความเสี่ยงด้านการเงินที่จะเกิดขึ้นหลังเกษียณ เรื่องนี้ต้องเข้าใจก่อนว่าปัจจัยด้านล่างนี้จะมีผลต่อแผนเกษียณของเรา ลองพิจารณาดูกันว่าเรามีความเสี่ยงจากปัจจัยแต่ละข้อมากน้อยแค่ไหน ก. ถ้าอายุยิ่งยืน เงินที่ต้องใช้ก็ยิ่งมาก เวลาทำงานหาเงินมาเก็บไว้ใช้ในยามเกษียณก็จะนานตามไปด้วย ข. เงินเฟ้อที่สูงขึ้น มีผลทำให้เงิน 100 บาท ณ ปัจจุบัน ซื้อของได้น้อยลงในอนาคต ค. การลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ มีผลต่อกระแสเงินสดของเราในอนาคต การลงทุนในสินทรัพย์ที่เสี่ยงต่ำในสัดส่วนที่มากจนเกินไปอาจทำให้พบกับปัญหาที่ผลตอบแทนในอนาคตไม่สามารถชดเชยกับเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้นไปด้วย เงินเฟ้อมักจะเพิ่มขึ้นในอัตราที่เร็วกว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำ ง.