4%, โปรตีน 2. 6%, ไขมัน 0. 3%, คาร์โบไฮเดรต 10%, ใยอาหาร 2. 9%, เถ้า 0. 7%, วิตามินเอ 575 หน่วยสากล, วิตามินบี1 0. 11 มิลลิกรัม, วิตามินบี2 0. 09 มิลลิกรัม, วิตามินบี3 0. 8 มิลลิกรัม, แคลเซียม 121 มิลลิกรัม, ธาตุเหล็ก 1. 3 มิลลิกรัม, และฟอสฟอรัส 39 มิลลิกรัม (ต่อ 100 กรัม) [1] ในเมล็ดมันแกวประกอบไปด้วยน้ำมันที่ใช้กินได้ 20. 5-28. 4% จากผลการวิเคราะห์เมล็ดมัวแกวประกอบไปด้วย ความชื้น 6. 7%, โปรตีน 26. 7%, น้ำมัน 27. 3%, คาร์โบไฮเดรต 20%, ใยอาหาร 7%, เถ้า 3. 68% [1] ในเมล็ดแก่จะมีสารพิษ เนื่องจากประกอบไปด้วย โรตีโนน 0. 12-0. 43%, ไอโซฟลาวาโนน และทุฟุราโน-3-ฟีนิล ดูมาริน [1] ประโยชน์ของมันแกว คนไทยส่วนใหญ่รู้จักกินหัวมันแกวเป็นอาหาร ส่วนใหญ่แล้วกินหัวมันแกวสดเช่นเดียวกับการกินผลไม้ (มันแกวมีรสคล้ายแป้งแต่จะออกหวาน) หรือนำมาจิ้มกับพริกเกลือ มีบ้างที่นำมาใช้ต้มหรือปรุงเป็นอาหารทั้งคาวและหวาน เช่น ผัดไข่ ผัดเปรี้ยวหวาน แกงส้ม แกงป่า หรือใช้เป็นส่วนผสมในทับทิมกรอบ ไส้ซาลาเปา เป็นต้น โดยหัวมันแกวประกอบไปด้วย ความชื้น 82. 38%, โปรตีน 1. 47%, ไขมัน 0. 09%, แป้ง 9. 72%, น้ำตาล 2. 17%, วิตามินบี1 0.
เลือกน้ำมันสะระแหน่บรรจุขวดแก้ว เพราะหากจะซื้อน้ำมันหอมระเหยที่เข้มข้นไม่ผ่านการเจือจาง ควรเลือกที่บรรจุในขวดแก้ว เพราะน้ำมันหอมระเหยอาจจะทำให้ขวดพลาสติกนั้นอาจจะละลายได้ แต่ถ้าเป็นน้ำมันที่ผ่านการเจือจางมาแล้วสามารถบรรจุในขวดพลาสติกได้ ไม่เป็นอะไรเนื่องจากปริมาณน้ำมันหอมระเหยนั้นน้อยมาก 4. เลือกน้ำมันสะระแหน่ที่มีราคาเหมาะสม ไม่ถูกจนผิดสังเกตุ พราะน้ำมันหอมระเหยส่วนใหญ่รวมทั้งน้ำมันสะระแหน่ หากสกัดมาจากพืชจริงๆ มักจะมีราคาค่อนข้างสูง หากพบเห็นน้ำมันหอมระเหยที่ราคาต่ำกว่าที่ควรจะเป็นให้ระวังไว้ว่าอาจจะเป็นน้ำหอมที่ถูกสังเคราะห์กลิ่นขึ้นมาหรือเป็นน้ำมันหอมระเหยที่ผ่านการเจือจางมาแล้ว 5. น้ำมันสะระแหน่สามารถเก็บได้นานประมาณ 2 ปี หากนานกว่านั้นอาจจะเสื่อมสภาพได้ เมื่อไปซื้อน้ำมันสะระแหน่แล้วพบว่ามีมีการตกตะกอนอยู่ที่ก้นขวดนั่นหมายความว่าเริ่มเสื่อมสภาพแล้ว ไม่ควรซื้อ 6. ควรเก็บน้ำมันสะระแหน่ไว้ในที่แห้งและเย็น เช่น ตู้เย็น เพื่อรักษาคุณภาพที่ดีของน้ำมันเอาไว้ 7. เจือจางน้ำมันสะระแหน่ก่อนนำมาใช้ การนำน้ำมันสะระแหน่มาใช้งานอย่างเช่น การนวดตัว ควรนำมาเจือจางก่อน เพราะความเข้มข้นของน้ำมันสะระแหน่อาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองที่ผิวหนังได้ ข้อควรรู้-ควรระวัง ก่อนนำน้ำมันสะระแหน่ไปใช้ 1.
ขณะนี้มี 99 หญ้าไผ่น้ำสกัดเข้มข้น น้ำหญ้าไผ่น้ำ ทำจากต้นหญ้าไผ่น้ำ สรรพคุณมากมาย ทานง่าย มีกลิ่นหอม ขนาด 1000 มลx2 ขวด อยู่ในที่จัดเก็บ แต่ปริมาณของสินค้าคงคลังอาจมีการเปลี่ยนแปลงโดยไม่คาดคิดเนื่องจากร้านนี้ขายบล็อกอื่น ๆ จำนวนมาก. แม้ว่านี่จะไม่ใช่สถานที่ขายอย่างเป็นทางการของ หญ้าไผ่น้ำสกัดเข้มข้น น้ำหญ้าไผ่น้ำ ทำจากต้นหญ้าไผ่น้ำ สรรพคุณมากมาย ทานง่าย มีกลิ่นหอม ขนาด 1000 มลx2 ขวด ของแบรนด์ $แบรนด์ที่ Shopee คุณสามารถตรวจสอบและค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับการซื้อการตรวจสอบความนิยมสำหรับ หญ้าไผ่น้ำสกัดเข้มข้น น้ำหญ้าไผ่น้ำ ทำจากต้นหญ้าไผ่น้ำ สรรพคุณมากมาย ทานง่าย มีกลิ่นหอม ขนาด 1000 มลx2 ขวด เพราะราคา ฿254 ดีกว่าการซื้อจากสถานที่ขายอย่างเป็นทางการลด ฿0. หลังจากปรับราคา หญ้าไผ่น้ำสกัดเข้มข้น น้ำหญ้าไผ่น้ำ ทำจากต้นหญ้าไผ่น้ำ สรรพคุณมากมาย ทานง่าย มีกลิ่นหอม ขนาด 1000 มลx2 ขวด เป็น ฿254 ผลิตภัณฑ์ที่ขายได้แล้วก็ขายได้สำเร็จโดยไม่ดูถูกดูแคลนใด ๆ. ด้วยยอดขายผลิตภัณฑ์ $history_sold ทำให้ หญ้าไผ่น้ำสกัดเข้มข้น น้ำหญ้าไผ่น้ำ ทำจากต้นหญ้าไผ่น้ำ สรรพคุณมากมาย ทานง่าย มีกลิ่นหอม ขนาด 1000 มลx2 ขวด มีจำนวน Likes Likes $รายการ.
ป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด จึงช่วยป้องกันการเกิดอัมพาตด้วย 2. บำรุงสายตา เป็นแหล่งวิตามินเอที่สำคัญ ยังพบว่ามีเบต้าแคโรทีนที่พบเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สามารถเปลี่ยนตัวเองเป็นวิตามินเอได้อีกด้วย ดังนั้นตำลึงจึงขึ้นชื่อว่าเป็นอาหารบำรุงสายตาอีกด้วย3. เสริมภูมิต้านทาน ตำลึงอุดมไปด้วยมีวิตามินเอและเบต้าแคโรทีน ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ป้องกันการป่วยไข้ได้ โดยเฉพาะอาการไข้หวัด ซึ่งหากร่างกายขาดวิตามินเอ ก็มีโอกาสจะป่วยไข้ได้ง่าย 4. รักษาเบาหวาน มีงานวัยจาก สถาบันโภชนาการ มหิดล เผยว่า พบสารฟลาโวนอยด์ สูง โดยสรรพคุณของมันคือ ต้านอนุมูลอิสระ และช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้ดี 5. ช่วยย่อยอาหาร ตำลึงมีเอนไซม์อะไมเลสอยู่มาก ซึ่งเอนไซม์ตัวนี้มีคุณสมบัติช่วยย่อยอาหารจำพวกแป้งได้ดี หากใครมีอาการแน่นท้อง ท้องอืดจากอาหารไม่ย่อย โดยเฉพาะคนที่กินแป้งเข้าไปมาก ๆ ให้ใช้ใบตำลึงประมาณ 1 กำมือ ผสมกับเถาตำลึงเด็ดขนาดเท่านิ้วก้อย 1 กำมือ โขลกรวมกันจนเป็นเนื้อเดียว จากนั้นคั้นเอาแต่น้ำตำลึงมาผสมน้ำอุ่น 1 แก้วกาแฟ กินก่อนอาหารประมาณ 5-10 นาที เพื่อเรียกน้ำย่อย หรือจะใช้ใบตำลึงแก่ลวกพอสุก กินเป็นผักเคียงพร้อมกับอาหารในแต่ละมื้อเลยก็ได้ 6.
อาการกรดไหลย้อนหลาย ๆ คนอาจมองว่าไกลตัว แต่ความจริงแล้วนั้นเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวมาก ๆ กินข้าวแล้วนอนกินข้าวไม่ตรงเวลาก็เป็นได้ เห็นมั้ยว่ามันไม่ได้ไกลตัวอย่างที่คิด ฉะนั้นมาดูกันว่า น้ำกะเพรา จะรักษาอาการกรดไหลย้อนได้อย่างไร วิธีทำ 1. นำกะเพรา 1 กำ (ทั้งลำต้นและใบ) ถ้าใช้กะเพราแดงจะได้ผลดีกว่า ประมาณ 1 ขีด มาล้างให้สะอาดด้วยน้ำจุลินทรีย์ EM (ของโยเร แช่ 1 ช. ม. ) หรือน้ำยาล้างผักเพื่อล้างยาฆ่าแมลงออก 2. ใส่น้ำ 2 – 3 ลิตรลงในหม้อ นำกะเพราใส่ลงไปทั้งหมด 3. ปิดฝาหม้อ ใช้ไฟปานกลางค่อนข้างอ่อน ต้มประมาณ 15 – 20 นาที พอน้ำเดือดปุ๊บให้ปิดแก๊สทันที 4. ดื่มหลังอาหาร 1 แก้ว 250 ml (อ่านตรง ปล. ต่อ) 5. ถ้าน้ำกะเพราเย็นลงหรือ ดื่มไม่หมด ไม่ต้องอุ่นหรือต้มซ้ำ ให้แช่เย็นไว้ดื่ม หมายเหตุ 1. ใช้กะเพราแดงจะได้ผลดีกว่า 2. จำไว้ว่า กะเพราเป็นสมุนไพรธาตุร้อน ถ้าดื่มน้ำกะเพราไปแล้วเกิดอาการร้อนใน ให้ลดปริมาณน้ำกะเพราลง 3. อาการหนักประมาณ 6 แก้ว และหลังจากวันแรกที่ดื่ม ถ้าอาการทุเลาให้ลดปริมาณน้ำกะเพราลง เหลือหลังอาหารวันละ 2 – 3 แก้ว 4. ยาสมุนไพรไทย ใช้เวลารักษานานค่ะถึงจะหาย ต้องกินเป็นประจำสม่ำเสมอ โดยไม่ต้องทานยาเคมีเข้าช่วยเลย ประโยชน์ของกะเพรา กะเพราช่วยขับลม เป็น Buffer ปรับสมดุลกรดในกระเพาะอาหาร ช่วยเร่งการย่อยอาหาร ได้ผลดีเยี่ยมกับคนที่เป็นโรคลำไส้เล็ก เช่น จุกเสียดในลำไส้เล็ก (เวลาเป็นเหมือนถูกแทงด้วยหลาว นั่งอยู่ดีๆก็เจ็บเหมือนถูกแทง หรือถูกต่อย) การดูแลตนเองสำหรับผู้ที่มีอาการท้องอืด จุก เสียด แน่นเฟ้อ (ข้อมูลนี้ได้มาจากประสบการณ์ของผู้ป่วยหลายๆท่าน) 1.